08 มี.ค. 2563
นักท่องเที่ยวสิงคโปร์โพสต์ถึงเมืองไทยมุมบวก ช่วงวิกฤติไวรัส โควิด-19
ดร.บรรจง ชมภูวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เมื่อคนไทยส่วนน้อยมองชาติตนเองด้านลบ แต่ต่างชาติมองเห็นแต่ด้านบวก
ชาวสิงคโปร์เขียนชมประเทศไทย ถอดความออกมาเป็นภาษาไทย เพื่อความภาคภูมิใจ เขาเป็นนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่มาเมืองไทยได้เปรียบเทียบมาตรการป้องกันไวรัส COVID-19 ระหว่างไทยกับสิงค์โปร์ ดังนี้
..กัลยาณมิตรทางเฟซบุ๊กครับ กรุณาอ่านเมื่อท่านว่างจริงๆ และท่านชอบผมจริงๆ เพราะภรรยาบอกว่าผมช่างติดลม
..ผมงงมากที่ชาวสิงค์โปร์จำนวนไม่น้อยหูหนวกตาบอดและคิดว่าการอยู่ในสิงคโปร์ปลอดภัยกว่าการเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดน โดยเฉพาะอย่างกรุงเทพในช่วงเวลาการระบาดของไวรัสโควิด19
..ผมเพิ่งไปกรุงเทพและรู้สึกมั่นใจที่จะบอกว่าผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยยิ่งกว่านี้เลย ดูเหมือนว่า “รัฐบาลไทย” และคนไทยเผยแพร่ความรู้และเตรียมรับมือได้ดีกว่ารัฐบาลของผมอย่างมากทีเดียว
..ผมเชื่อมั่นว่า การป้องกันไว้ดีกว่าแก้ จริงอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์มีโรงพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นยอดที่สุดในภูมิภาคนี้และได้รับการยกย่องในเรื่องนี้ในช่วงมีการระบาดของโรค แต่ก้อขาดหน่วยงานการป้องกัน หากมีแผนมาตรการการป้องกันที่ดีก็ไม่ต้องกังวลมากกับมาตรการการแก้ไข ผมพูดถูกมั้ย
แต่ที่กรุงเทพนี้ ทำให้ผมทึ่งมากวินาทีที่ก้าวออกจากเครื่องบินได้เห็นน้ำยาล้างมือวางอยู่ทุกมุมเลย ทุกห้องสุขา ทุกเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง แต่ในประเทศของผมนะหรือ เราต้องหาซื้อเอาเองใน “ตลาดมืด” น้ำยาทำความสะอาดที่สายพานรับกระเป๋า หรือ”จิ๊ก”เอาจากเคาน์เตอร์โชว์ของโบอิ้ง ถามตัวคุณเองดูสิว่าทำไม? หรือเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกกักตุนสินค้า?
เมื่อเข้าไปถึงใจกลางของกรุงเทพ ทุกทางเข้าห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนหนาแน่นจะมีจุดคัดกรองพร้อมเครื่องวัดอุณหภูมิกับน้ำยาล้างมือพร้อมบริการทุกคน ในห้างหรูจะมีเจ้าหน้าที่ยินบริการกดน้ำยาใส่มือให้โดยที่เราไม่ต้องใช้มือสัมผัสอะไรเลย แม้แต่ห้างเล็กๆไม่มีชื่อเสียงก้อจัดไว้บริการทุกคน
..ส่วนแถบชานเมืองของประเทศไทยละ ยิ่งน่าทึ่งหนักเข้าไปอีก ผมไปกาญจนบุรีเพื่อไปดูสะพานมรณะข้ามแม่น้ำแคว ก่อนที่เราจะไปขึ้นรถไฟโบราณ เราเข้าไปชานชลาสถานีรถไฟโบราณ นายสถานีกับผู้ช่วยของเขาเดินแจกหน้ากากอนามัยฟรีให้กับทุกคนพร้อมกับกดน้ำยาล้างมือให้ทุกคน
ผมมองหน้าภรรยาแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ในสิงคโปร์ เราต้องซื้อหน้ากากอนามัยราคาชิ้นละ1ดอลลาร์สหรัฐ เราต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ย หรือก็ไม่ใช้เลย เพรารัฐบาลประกาศทางทีวีว่าให้ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อเราป่วย
เหมือนว่าถูกสอนให้เรารู้สึกอายที่จะใส่หน้ากากอนามัยเมื่อเราไม่ป่วย นี่มันอะไรกัน? ทำไมเราต้องรอให้มีคนบอกเราเมื่อไหร่ต้องป้องกันตัวเราเอง?หรือเราต้องแจ้งทางการและรอให้บอกเราว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่?เพราะเวลานี้ที่สงสัยว่าไวรัสนี้แพร่ระบาดได้ทางลมหายใจ
มันจะยังไงถ้าว่าเรามีระบบสาธารณสุขที่เยี่ยมยอด? ถ้าเรามีอัตราการหายโรคที่ดีที่สุด? หรือสามารจ่ายค่าชดเชย 100 ดอลลาร์ต่อวัน? ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นเลยหากเรามีมาตรการและแผนป้องกันตั้งแต่ต้น
โปรดอย่าทำให้เราเป็นชาติ“ขี้จุกตูด” และคิดว่าเพราะเราเป็นชาติที่ดีที่สุดในทุกด้านในภูมิภาคนี้ เพราะน่าเศร้าที่แท้จริงแล้วเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น การแก้ไขคือการวางแผนที่จะล้มเหลวในการระบาดของโรคนี้ ผมกังวลใจสำหรับตัวเองและคนใกล้ชิดรอบตัว
กัลยาณมิตรทุกท่าน และชาวสิงคโปร์ทุกท่าน.. ท่านคิดว่าท่านปลอดภัยในสิงคโปร์หรือ? ใช่ครับ อาจเป็นได้ถ้าท่านกักตัวเองอยู่ภายในบ้านพร้อมเสบียงอาหาร 1 ปี หมี่แม็กกี้ และอาหารกระป๋อง
ขณะนี้ผมกำลังเหินฟ้าออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ผมหวาดกลัวที่จะเดินทางกลับไปสิงคโปร์ จากแดนสวรรค์ที่ปลอดภัยแห่งนี้..
เมื่อคนไทยส่วนน้อยมองการบริหารประเทศไทยด้านลบ แต่ผู้แทนในสภา และคนไทยส่วนใหญ่ รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติมองเห็นแต่ด้านบวกของประเทศเรา ก็ต้องช่วยแชร์และบอกต่อสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปให้ทั่วสังคมไทยที่ดีงามแห่งนี้และทั่วโลก
คนไทยอย่าตกเป็นเหยื่อกลุ่มคนส่วนน้อยบางพวก ที่กำลังสร้างภาพเมืองไทยไม่มีอะไรดีสักอย่าง อย่าส่งต่อหรือแชร์ภาพนักเรียนนักศึกษาที่ทำไม่ดีก่อความวุ่นวาย ภาพหมิ่นสถาบัน ภาพพวกนี้ดูแล้วก็ผ่านๆ เลยไปเพราะเป็นขยะรกสายตา
..แต่ให้สร้างค่านิยมเลือกแชร์หรือส่งต่อเฉพาะภาพหรือข้อความสิ่งดีๆ น่าชื่นชมของไทย เช่น ภาพจิตอาสาช่วยคนด้อยโอกาส , นักศึกษาทำความดีตัดเย็บอากากอนามัย , การเคารพกฎหมาย หรือ คำชื่นชมจากชาวต่างชาติแบบนี้ ฯลฯ เพราะความดีควรได้รับการบอกต่อมากกว่าความวุ่นวายไม่ใช่หรือ ? #รักประเทศไทยอย่าไว้ใจพวกชังชาติ”
เครดิตข่าวโดย: tvpoolonline